วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



ขนมครกชาววัง


         ขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใครยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
“ขนมครกเมื่อก่อน สูตรดั้งเดิมนำข้าวสาร มาผสมข้าวสุกค้างคืนแล้วโม่ เพื่อให้มีความนิ่ม แต่ข้อเสียคือ ทำให้เสียไว ปัจจุบัน สะดวกสบาย เนื่องจากมีแป้งสำเร็จรูปจำหน่าย ช่วยลดความยากลงไปได้พอสมควร ส่วนหน้าที่ใช้โรยก็มีความหลากหลายมากขึ้น”
         วัตถุดิบสำคัญของขนมครก   คือ แป้ง มีด้วยกัน 2 รูปแบบคือ แป้งสด และแป้งแห้ง แป้งสดคือ แป้งที่ต้องทำเองไม่มีวางจำหน่าย อันมีส่วนผสมของข้าวสารเก่า ข้าวสวยกลางปีสุกค้างคืน ถั่วทอง หรือถั่วเขียวเลาะเปลือก นำมาโม่ด้วยเครื่อง วิธีการ นำข้าวสารเก่าแช่น้ำค้างคืน ไปโม่พร้อมข้าวสุกและถั่วทอง เหตุที่ไม่ใช้ข้าวใหม่ เพราะแป้งจะเหนียว เวลาแคะออกจากเบ้าจะไม่ค่อยล่อน ส่วนแป้งแห้งคือ แป้งสำเร็จรูปที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด โดยความแตกต่างของแป้งทั้งสองนี้คือ แป้งสด เนื้อขนมจะละเอียดและหอม แต่แป้งแห้งจะให้ความสะดวกมากกว่า  นอกจากแป้งจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของขนมครก ยังมีกะทิที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อมะพร้าวสำหรับทำขนมมาขูด แล้วคั้นเพื่อให้ได้น้ำกะทิที่สดใหม่ จากนั้นผสมเกลือป่นเล็กน้อย การทำเช่นนี้จะทำให้ได้กะทิที่หอม นอกจากนั้น ยังมีความเข้มข้นมากกว่ากะทิกล่อง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ใช้ยี่ห้ออร่อยดี เนื่องจากกลิ่นจะหอมแบบธรรมชาติ
         ลงทุน 3,000 บาท  ขายดีทุกวัน ไม่มีวันหยุด  ถึงตรงนี้ ถามผู้เชี่ยวชาญ ถึงจำนวนเงินลงทุน ได้ความว่า เงินที่ใช้ลงทุนขายขนมครกต่ำสุด เฉลี่ยใช้เงินประมาณ 3,000 บาท แบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ 2,500 บาท ได้แก่ เตาไฟ 2 หัว เป็นเตาเหล็ก 1,500 บาท เบ้าขนมครก 1 ใบ ราคา 600 บาท กาหยอดขนมครก 60-100 บาท เตาแก๊ส 300 บาท ค่าวัตถุดิบ อาทิ แป้ง กะทิ น้ำตาลโตนด เกลือ จานกระดาษไว้ใส่ขนม ทั้งสิ้น 300 บาท แถมเหลือเป็นเงินหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง “3,000 บาท หลักๆ ได้อุปกรณ์การขายและวัตถุดิบจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่รวมอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ อาทิ กะละมังผสมแป้ง ทัพพี ช้อน ของจุกจิกในครัว เนื่องจากแต่ละบ้านมักมีอยู่แล้ว”


วิธีทำตัวแป้งขนมครก

ส่วนผสม

  1. แป้งข้าวเจ้าอย่างดี ตราดอกไม้ 1 กิโลกรัม

  2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง

  3. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง

  4. น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง

  5. น้ำตาลโตนด 1 ช้อนโต๊ะ

  6. เกลือ 1 ช้อนชา

  7. โรยหน้าตามใจชอบ อาทิ ต้มหอม ข้าวโพด เผือก ฯลฯ

วิธีผสมแป้ง

ค่อย ๆ เทแป้งข้าวเจ้า ลงผสมกับน้ำสะอาด น้ำปูนใส คนจนกว่าจะเข้ากัน จากนั้นเติมกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น แล้วคนให้เข้ากันดี


วิธีทำกะทิหน้าขนมครก

ส่วนผสม

  1. หัวกะทิ 6 ถ้วยตวง

  2. หางกะทิ 2 ถ้วยตวง

  3. น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย

  4. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำกะทิสำหรับหยอดหน้า

ผสมหัวกะทิ หางกะทิ เกลือป่น น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟ คนให้น้ำตาลและเกลือละลาย จากนั้นยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่ภาชนะเตรียมหยอดหน้าขนมครก

วิธีทำขนมครก

  1. ตั้งกระทะขนมครก ใช้ไฟอ่อนปานกลาง รอจนเตาร้อนเต็มที่

  2. นำลูกประคบ ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว แตะน้ำมันพืช เช็ดที่เบ้าขนมครกให้ครบทุกเบ้า

  3. ตักหรือใช้กาหยอดแป้งขนมครก ลงในเบ้าปริมาณ 3/4 นำกระบวยกดให้ล้นขึ้นมาด้านข้าง ประมาณ 1 เซนติเมตร ปิดฝาทิ้งไว้ราว 2-3 นาที

  4. หยอดหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อ 1 เบ้า โรยหน้าตามใจชอบ ปิดฝาทิ้งไว้ รอจนขอบแป้งเหลือง ใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ภาชนะ

 อุปกรณ์สำหรับทำขนมครก
  1. เครื่องโม่แป้ง (ในกรณีทำแป้งสด)

  2. เบ้าขนมครก

  3. กาสำหรับหยอดแป้ง

  4. ลูกประคบ (ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว)

  5. ช้อนสำหรับแคะขนมครก

เคล็ดลับความอร่อย

1. น้ำมันพืชที่ใช้เช็ดเบ้าขนมครก ควรเป็นน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ขนมครกมีกลิ่นหอม ชวนให้น่ารับประทาน นอกจากนั้น ยังทำให้ผิวขนมครกมีสีสวย

2. ภาชนะใส่ขนมครก ไม่ควรใช้โฟม เนื่องจากมีสารเมลามีน ก่อให้เกิดมะเร็ง ควรเป็นจานกระดาษ หรือรองด้วยใบตอง หรือหากจำเป็นต้องเรียงซ้อนกัน ก็ควรมีใบตองวางทับไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ขนมครกติดกัน

3. เบ้าขนมครก มีทั้งที่ผลิตจากเหล็ก และสเตนเลส ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน ส่งผลด้านความสวยงาม แต่ไม่ส่งผลต่อรสชาติแต่อย่างใด



       สุดท้ายนี้ ขนมครกเป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่หากินได้ง่ายตามท้องตลาด บางที่ก็ใส่ใบเตย บางที่ก็ใส่ถ้วยโฟม ขนมครก มีหลากหลายหน้า เช่น ข้าวโพด เผือก ต้นหอม ฟักทอง หน้ากะทิ เป็นต้น ราคาย่อมเยาว์ มีกลิ่นหอม รสชาติ หวาน มัน เค็ม อร้อย อร่อย มาซื้อกินกันเยอะๆนะคะ เพื่อ อนุรักษ์ขนมไทยไว้ค่ะ :)




น.ส.รำไพ อมาตมนตรี รหัสนิสิต 54015087












วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



ไอศครีม กระทิสด



                  ไอศครีมกะทิสด เป็นของหวานเย็น ทำด้วย กะทิหรือมะพร้าว เป็นสูตรโบราณ หากินได้ง่ายตามท้องตลาด อย่างเช่น เราไปเที่ยวพวกตลาดน้ำ ก็จะมีขายทั่วไป เหมาะกับอากาศร้อนๆ สามารถทานกับ ข้าวเหนียว ขนมปัง ถ้วยกรอบ ลูกจาด มันเชื่อม ถั่วลิสงคั่ว อร่อยเลยทีเดียว พอได้กินหรือทาน รู้สึกถึงความมัน หอม หวาน ได้กลิ่นกะทิสด อย่างอร่อย ลืมถึงอากาศร้อนๆแบบนี้ได้เลยค่ะ เรามาดูหน้าตาของไอศครีม กะทิสดกันเลยนะคะ






มาดูวิธีการทำกันนะคะ


 ส่วนผสม          1. กะทิสด คั้นจากมะพร้าวขูด 560 มิลลิลิตร 
          2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
          3. เกลือ ¾ ช้อนชา
          4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
          5. เนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (มีหรือไม่มีก็ได้)



วิธีทำ

1. ต้มน้ำใส่ใบเตยให้เดือด ตักน้ำเดือด 2 ขัน ผสมกับน้ำธรรมดา 2 ขัน (ขันขนาด เบอร์ 20) นำมาคั้นกับมะพร้าว จะได้กะทิ 4 ขัน ตักใส่ภาชนะไว้แล้วคั้นกะทิต่อกับน้ำปริมาณเท่าเดิม (จะได้กะทิอีก 4 ขัน) นำกะทิทั้งหมด 8 ขัน มาผสมกับน้ำตาลและนมผงละลายให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปปั่นในถังปั่นไอศกรีม ข้อแนะนำ 1 เครื่องที่รับประทานกับไอศกรีมควรมีหลาย ๆ ชนิดเช่น ข้าวเหนียว ลูกชิด มันเชื่อม ถั่วแดง ลูกบัว เป็นจาก
2. ควรใส่เครื่องไอศกรีมในขวดโหลที่ใส สะอาด ชวนให้น่ารับประทาน
3. เมื่อตักไอศกรีมใส่ถ้วยหรือขนมปัง ควรเทนมสดและโรยถั่วลิสงคั่วบนหน้าไอศกรีมด้วย




 ไอศครีมกะทิสด สามารถทำได้ไม่ยาก ทำรับประทานเองที่บ้านได้ง่ายๆ อุปกรณ์ในการทำหาได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพง มะพร้าว กะทิ หาได้ง่ายตามบ้านหรือตามท้องตลาด ลองมาทำกินกันเยอะๆนะคะ อร่อยถูกปาก ถูกหลักอนามัย สามารถสร้างรายได้เสริม ให้กับครอบครัวอีกด้วย มาทานไอศครีมคลายร้อนกันเยอะๆๆนะจ๊ะ









 

 

 

 

 





นายชาญชัย  ธงสุวรรณ  รหัสนิสิต  54015134
















วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ร้อนๆ

          เช้าๆๆกับข้าวข้าวเหนียวหมูปิ้งร้อนๆ เป็นอาหารที่รองท้อง กินแล้วอยู่ท้องได้นาน เหมาะกับคนที่เดินทางเร่งด่วนในเวลาเช้าๆ เพราะข้าวเหนียวหมูปิ้งหาซื้อกินได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ราคาไม่แพง เป็นอาหารที่คู่กับคนไทยมาช้านาน ปัจจุบันมีคนทำข้าวเหนียวหมูปิ้งขายกันเยอะมาก ไปไหนมาไหนก็พบเจอได้ง่าย รสชาติของข้าวเหนียวหมูปิ้ง อร่อย กลมกล่อม มีกลิ่นหอม น่าชวนกินมากๆค่ะ สามารถหาซื้อกินได้ค่ะไม้ละ 5บาท 10บาท เองค่ะ เชิญมาทางนี้ได้เลยค่ะ




หอมน่ากิน  อร่อยมากๆ



ราคาไม่แพง ไม้ละ 5บาท 10บาท






นางสาวมนัญญา  พรมสนาม รหัสนิสิต 54014229 Sec.14




















วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




อาหาร๔ภาค

       อาหาร๔ภาคมีความแตกต่างและหลากหลายรสชาติ แต่ละภาคมีรสชาติและความแตกต่างไม่เหมือนกัน เช่น ภาคเหนือก็จะเป็นน้ำพริกอ่อง, ภาคใต้ก็จะเป็นสะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวาน ,ภาคอีสานก็จะเป็นลาบก้อยไข่มดแดง,ภาคกลางก็จะเป็นแกงเขียวหวานไก่

ภาคเหนือ น้ำพริกอ่อง


                               น้ำพริกอ่องเหมาะกับการกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ทานกับคู่กับแตงกวาง ฟักทองนึ่ง ผักกระหล่ำ ลำแต้ๆๆเจ้า........



                                     http://dekchainene.blogspot.com/2011/05/blog-post_06.html


ภาคใต้  สะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวาน



สะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวานเหมาะกับการกินข้าวสวยร้อนๆ รสชาติเผ็ดซี๊ดซาส ทานคู่กับถั่วฝักยาว ใบบัวบก
 http://thaifoodtoday.wordpress.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89/


ภาคอีสาน ลาบก้อยไข่มดแดง





 ลาบก้อยไข่มดแดง เหมาะกับการกินข้าวเหนียวร้อนๆ รสชาติมันเผ็ด แซ่บร้อน ทานกับผักได้ทุกชนิด แซ่บหลายเด้อ..............




ภาคกลาง  แกงเขียวหวานไก่






แกงเขียวหวานไก่เหมาะกับกินข้าวสวยร้อนๆและขนมจีน ทาคู่กับถั่วงอก ผักกาดดองสามราถทานคู่กับไข่ต้มด้วย 

http://thaisiamcooking.blogspot.com/2012/05/blog-post.html



นางสาวจุฑารัตน์  ขัดทองม้วน รหัสนิสิต54015775 Sec.54314