วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555




นศ.ใช้GPSไอโฟน ตามจับคนร้ายหลอกเชิดไอโฟน 4



 


เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 55 ร.ต.อ.สมชาย ชัยคณานุกุล รอง สวป. สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจาก น.ส.ฐานิศร อายุ 18 ปี นักศึกษามหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ปี 1 ผู้เสียหาย พร้อมเพื่อนสาวอีก 3 คน ว่า สามารถจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 4 หลังถูกคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ไปช่วงคืนของวันที่ 17 ที่ผ่านมา และยังวนเวียนอยู่ในเขตเมืองพัทยา หลังรับแจ้งจึงนำตัวผู้เสียหาย และเพื่อน ออกตามหาตัวคนร้าย

จนกระทั่งจับสัญญาณอีกที พบว่าคนร้ายกำลังอยู่บนถนนสุขุมวิทพัทยากลาง ฝั่งขาเข้าชลบุรี จึงนำกำลังไปดักจับกุมเอาไว้ได้ พร้อมของกลาง ไอโฟน 4 สีขาว ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ขณะกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ ทางตำรวจจึงนำ ไอโฟน 4 ให้ผู้เสียหายตรวจสอบพบว่าข้อมูลเช่นภาพถ่าย ถูกลบทิ้งออกหมด แต่แอพพลิเคชั่น ยังอยู่ครบ จึงคุมตัวมาสอบสวนยังโรงพัก

จากการสอบถาม น.ส.ฐานิศร ผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า ตนรู้จักกับน.ส.เอ ผู้ก่อเหตุ ทางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ แบล็คเบอรี่ หรือบีบี และแชทพูดคุยกันมาเกือบ 1 ปีแล้ว โดยน.ส.เอ หลอกตนเองโดยใช้ชื่อปลอมว่า ฟาง ซึ่งเรียนอยู่ มหาวิทยาลัยในจังหวัดชลบุรี ซึ่งพักอยู่เมืองพัทยา ซึ่งวันเกิดเหตุ ตนพร้อมเพื่อนอีก 3 คน เดินทางไปเที่ยวพัทยา ก่อนจะนัดกับน.ส.เอ มาเที่ยวที่ร้านเหล้าปั่นด้วย แห่งหนึ่งบนถนนพัทยาสายสาม จนนั่งไปได้สักพัก น.ส.เอ ก็ขอยืมไอโฟน ไปโทรหาเพื่อน ด้วยความเชื่อใจจึงยื่นไอโฟนให้ ก่อนน.ส.เอ จะเดินออกไปคุยหน้าร้านแล้วหายตัวไป

หลังจากนั้นจึงเข้าแจ้งความกับตำรวจ หลังจากเกิดเหตุพยายามโทรติดต่อ แต่ก็ปิดเครื่อง ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยคิดว่าไอโฟน นั้นไม่ได้คืนอย่างแน่นอน จนช่วงเย็นที่ผ่านมาจึงใช้ไอโฟนของเพื่อน เช็กผ่านแอพพลิเคชั่นของไอโฟน 4 คือ Find My Iphone ที่มีการเซ็ตพิกัดของเครื่องโทรศัพท์โดยใช้จีพีเอสในการติดตาม จนทราบว่าน.ส.เอ ถูกแจ้งพิกัดในเขตเมืองพัทยา จึงประสานกับตำรวจสกัดสัญญาณจนจับกุมเอาไว้ได้ดังกล่าว

เบื้องต้น น.ส.เอ ยังไม่ให้การกับผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด โดยมัวแต่นั่งก้มหน้ากดบีบีแชท อย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามทางตำรวจจะต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริง พร้อมกับดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป




วิเคราะคุณสมบัติของข่าว

มีข้อ1.มีความถูกต้องครบถ้วนตามข้อเท็จจริง
-คือ มีผู้ต้องสงสัย มีการขโมยจริง และก็จับผู้ร้ายได้จริง

มีข้อ2. ความสมดุลและเป็นธรรม เปิดโอกาสให้ทั้ง2ฝ่ายพูดไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
-คือ ตำรวจมีการสอบสวนผู้ต้องหาและผู้เสียหาย แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมพูดอะไร มัวแต่กดแชท บีบี

มีข้อ3.ความเป็นกลาง ไม่ใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไป
-คือ ในข่าวก็ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผิดว่าไปตามผิด

มีข้อ4. กระชับและชัดเจน
-คือ ข่าวมีเนื้อหาที่กระชับอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน วกวนไปวนมา

มีข้อ5.มีความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ
- คือ เหตุพึ่งเกิดขึ้นเมื่ิเวลา01.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 55 และจับผุ้ร้ายได้ในเวลาต่อมา




นางสาวจุฑารัตน์ ขัดทองม้วน รหัส54015775 Sec.54314









วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

''ความแตกต่างระหว่างหนังสือพิมพ์ออนไลน์กับหนังสือพิมพ์ดั้งเดิม''

หนังสือพิมพ์ออนไลน์  คือ  เมื่อโลกออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน ธุรกิจหนังสือพิมพ์ทั่วโลก ต่างต้องลุกขึ้นมาปรับตัวครั้งใหญ่จากการเป็น "หนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษ" ก้าวสู่การเป็น "หนังสือพิมพ์ออนไลน์" พร้อมกับมองหาช่องทาง "ทำเงิน" ให้กับธุรกิจบนเวบไซต์




หนังสือพิมพ์ดั้งเดิม   คือ สิ่งพิมพ์ที่เสนอข่าว การเคลื่อนไหวใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีกำหนดการออกที่แน่นอนตายตัว โดยส่วนใหญ่จะออกเป็นรายวัน นอกจากนี้แล้วยังมีหนังสือพิมพ์รายสามวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายเดือน หนังสือพิมพ์มักจะพิมพ์ลงในกระดาษสำหรับพิมพ์หนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ ซึ่งมีราคาถูก
เนื้อหาหลักของหนังสือพิมพ์คือข่าวสารบ้านเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบันในด้านต่างๆ อาทิ ข่าวการเมือง ข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวกีฬา และข่าวบันเทิง มีการใช้รูปภาพประกอบเนื้อหา ทำให้เนื้อหาชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้แล้วอาจมีส่วนต่างๆ เพิ่มเติมเป็นพิเศษ เช่น พยากรณ์อากาศ และ การ์ตูน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการ์ตูนล้อเลียนการเมือง


     ความแตกต่างระหว่างหนังสือพิมพ์ออนไลน์กับหนังสือพิพ์แบบดั้งเดิม   คือ ...
หนังสือพิมพ์ออนไลน์สามารถค้นหาดูได้ง่ายในทางระบบ Internet ในโทรศัพท์ โน้ตบุ๊ค ไอแพท อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ สะดวดรวดเร็วไปไหนมาไหนก็ค้นดูได้ง่าย เช่น เวลาทำงาน เวลาเรียน เวลาไปเที่ยว เราสนใจที่จะดูข่าวหรือเหตุการณ์บ้านเมืองเราก็สามารถสืบค้นข้อมูลได้ทันที แต่หนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิม เราหาดูได้ยากเพราะหนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิมมีแค่ช่วงเช้า กับช่วงบ่ายเท่านั้น ซึ่งทำให้เสียเวลาในการรับข้อมูลข่าวสาร เวลาต้องการอยากทราบข้อมูลข่าวสารก็ต้องเดินทางออกไปหาซื้อ ซึ่งยากต่อการรับข้อมูลข่าวสาร  ดั้งนั้นจึงเห็นได้ง่ายว่าหนังสือพิมพ์ออนไลน์กับหนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิมมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  แต่อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์ออนไลน์กับหนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิมก็สามารถได้ข้อมูลข่าวสารได้ดีเหมือนกัน แล้วแต่ผู้บริโภคจะเลือกรับข่าวสารแบบใด............

หนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิม





 หนังสือพิมพ์ออนไลน์



น.ส รำไพ  อามาตมนตรี  รหัสนิสิต 54015087

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555




การแต่งกาย

นิสิตหญิงแต่งเป็นนิสิตชาย นิสิตชายแต่งเป็นนิสิตหญิง


         ปัจจุบันนี้ นิสิตนักศึกษาทั้งหญิงและชายได้เปลี่ยนลุคเปลี่ยนสไตย์ กล้าที่จะแต่งตัว หญิงเป็นชาย  ชายเป็นหญิง ดูแล้วผิดกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันสังคมบางแห่งก็ไม่ยอมรับ บางแห่งก็ยอมรับ ตามสภาพไป กลุ่มพวกเราจึงได้จัดการสัมภาษณ์ บุคคลทั้ง5คน มีสัมภาษณ์นิสิตนักศึกษาที่แต่งกายผิดระเบียบ(นิสิตหญิงแต่งเป็นชาย   นิสิตชายแต่งเป็นหญิง) สัมภาษณ์นิสิตที่แต่งกายถูกระเบียบ(นิสิตหญิงแต่งเป็นหญิง  นิสิตชายแต่งเป็นชาย) และก็สัมภาษณ์ อาจารย์


โดยได้สัมภาษณ์ อาจารย์
ความคิดเห็นของอาจารย์  อาจารย์มีความคิดเห็นว่า การที่แต่งกายผิดระเบียบหญิงแต่งเป็นชาย  ชายแต่งเป็นหญิงนั้น มันก็ไม่ถูกต้อง แต่ปัจจุบันนี้มันเป็นสิทธิเสรีภาพ ทุกคนมีสิทธิที่จะแต่ง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเราควรแต่งมั้ยเราก็ควรให้เกรียติสถาบัน ให้ความเคารพแก่อาจารย์

สัมภาษณ์ นิสิตชายที่แต่งตัวเป็นหญิง
เขามีความคิดเห็นเห็นว่า  บุคลิกเขาเป็นหญิงเขาก็ต้องแต่งหญิง จะให้มาแต่งเป็นชายมันก็จะยังไงอยู่ ดังนั้นเขาจึงแต่งเป็นหญิง เพราะรูปร่างหน้าตา และผม เป็นหญิงหมด

สัมภาษณ์ นิสิตชายแต่งตัวเป็นชาย
เขามีความคิดเห็นว่า  การที่จะแต่งตัวเป็นชายมันไม่น่าเกียจเลย มันอยู่ที่เราให้ความเคารพสถาบันและอาจารย์มากกว่า ไทด์อีก พูกไปเถอะเพราะมันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย แต่งไปแล้วดูเรียบร้อยจะตาย

สัมภาาณ์ นิสิตหญิงที่แต่งตัวเป็นชาย
เขามีความคิดเห็นว่า การที่เขาแต่งตัวเป็นชายนั้นเพราะอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว จะให้มาแต่งตัวตามกฎมันก็ไม่ใช่ ที่เขาใส่กางเกงเขาบอกว่า มันสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่างๆ

สัมภาษณ์ นิสิตหญิงที่แต่งตัวเป็นหญิง
เขามีความคิดเห็นว่า เมื่อก่อนเขาเคยแต่งตัวผิดระเบียบ แล้วเจอฝ่ายวินัยเขาเตือน เลยกลับใจมาแต่งเป็นหญิง และเขาก็ให้เกียติแก่อาจารย์ผู้สอนด้วย


คลิปข่าวในการสัมภาษณ์







                                             1.งสาวรำไพ อามาตมนตรี      รหัส 54015087
                                             2.งสาวมณีรัตน์  เกิดลาภ         รหัส 54015054
                                             3.งสาวจุฑารัตน์  ขัดทองม้วน รหัส 54015775

                                                                            Sec.54314

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอลิมปิก  เงินล้าน



         ประเทศไทยของเราไม่เป็นสองรองใครในเรื่่องกีฬาหลายประเภท เมื่อช่วงที่ผ่านมาได้มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและก็ได้จบลงไปเรียบร้อยแล้วนั้น  โดยมีนักกีฬาทีมชาติไทยของเราก็นำเหรียญรางวัลต่างๆมากมาย โดยเฉพาะ แก้ว พงษ์ประยูร นักกีฬาชกมวยสากล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหรียญทองอันดับ1 แต่"แก้ว"ก็ถือได้ว่า ได้เหรียญทองชนะใจคนไทยทั้งประเทศ พอหลังจากกลับมาจากการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศอังกฤษ ชาวไทยเราก็ได้มีการไปต้อนรับ ฮีโร่คนเก่งของเราด้วยความปลื้มปิติยินดี ที่แก้ว สามารถทำให้คนไทยทั่วประเทศยอมรับกับชัยชนะที่เรียกได้ว่า ครองใจคนดูทั่วโลก และยังมีเงินรางวัลอีกมากมายที่ผู้สนับสนุนใจดีมอบให้กับแก้วอีก อาทิเช่น เมืองไทยประกันชีวิต มอบเงินสนับสนุน 1 ล้านบาท ให้กับสมาคมเทควันโด และมอบเงินอีก 7 แสนบาทให้กับสมาคมมวยสากลสมัครเล่นฯ และผู้สนับสนุนอื่นๆอีกมากมาย











ในสายตาคนดูทั่วประเทศ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แก้ว พงษ์ประยูร แพ้ในการชกรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการถูกปล้นชัยชนะไปจากแก้ว อย่างน่าละอาย เพราะใครๆต่างก็เห็นว่าแก้ว ชกได้ดีตลอดทุกยก แล้วยังถูกกรรมการหักคะแนนอีกด้วยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชนะ อย่างไรก็ตาม แก้ว ก็ถือว่าได้ทำเต็มที่และประทับใจคนดูได้อย่างสมศักดิ์ศรี ดังนั้นคนไทยทุกคนก็ขอเป็นกำลังใจให้แก้วสู้ต่อไปและนำเหรียญทองและชัยัชนะจริงกลับมาให้กับประเทศไทยของเราในโอลิมปิกสมัยหน้า

http://www.bugaboo.tv/watch/27587/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7_%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%A3_%E0%B8%AE%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%81_%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%99.html

ชื่อ นาย ชาญชัย ธงสุวรรณ์






วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การขับรถ ในที่สาธารณะ ควรจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในตัวของผู้ใช้รถ รวมไปถึงผู้ใช้ถนน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อุบัติเหตุเกิดได้จากการขับรถประมาท การดื่มสุรา การหลับใน การขับรถเร็วและโดยเฉพาะการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จึงนำมาซึ่งเหตุการณ์ข่าวที่เกิดขึ้นในเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการขับรถตกสะพานเสียชีวิต



 





คำเตือนหรือข้อควรระวังในการใช้รถใช้ถนน
- ขับรถให้ถูกกฏจราจร
- เมาห้ามขับ
- ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
- ถ้าง่วงก็ให้จอดพักก่อน ไม่ควรฝืนตัวเอง
- ห้ามขับรถเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามที่กฏหมายกำหนด




จากการสูญเสียใครสักคน ทำให้คนที่รักและครอบครัวต้องเสียใจ หมดแรงหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เพียงเพราะการขับรถโดยประมาท ดังนั้น ในการที่จะขับรถควรที่จะมีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท สนุกสนานไปวันๆ เพราะมีคนที่รักเราและคอยเป็นห่วงเราเสมอตลอดเวลา











ชื่อ น.ส.มนัญญา พรมสนาม รหัส 54014229 Sec.54314



วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555





กุ้งอบวุ้นเส้น




              กุ้งอบวุ้นเส้น นี่เป็นหนึ่งในอาหารจีน แต่ไม่ว่าจะเป็นคนไทยแท้ และไม่แท้ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ต่างก็ชอบกินเมนูนี้กันอย่างมาก
พร้อมเสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ด รสจัดจ้าน และ ซอสเปรี้ยว รสกลมกล่อม นาน ๆทีได้เจอกุ้งที่ค่อนข้างสดมาขายพร้อมมีหัวติดมาด้วยเห็นมันกุ้งสีส้ม ๆอยู่ด้วย น่าอร่อยเป็นอย่างยิ่ง แต่หัวกุ้งมีแคลอรี่สูง
กุ้งอบวุ้นเส้น มีเครื่องปรุงที่จะขาดไม่ได้ คือ พริกหอม หรือที่เรียกว่าชวงเจียการใส่พริกหอม ก็ต้องใส่แบบพอดี ใส่มากเกินไปก็จะทำให้มีรสปร่า กินไม่อร่อย พริกหอม ตำรวมกับ พริกไทยไปพร้อมกันเลย













           “กุ้งอบวุ้นเส้น” เพราะสูตรการทำที่ได้มานั้น ก็นับว่าไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไป ถือเป็นเมนูที่น่าจะลองทำ    ส่วนจะใช้เป็นกุ้งก้ามกราม กุ้งนาง กุ้งขาว กุ้งชีแฮ้หรือกุลา อะไรก็ได้ แต่ขอให้ตัวใหญ่ ๆ เข้าไว้ จะได้กินอร่อยได้เนื้อเต็มๆ ว่าแล้วก็เตรียมส่วนผสมกันเลย



     ส่วนผสมกุ้งอบวุ้นเส้น

                                                    กุ้ง 150 กรัม                วุ้นเส้น 75 กรัม
             ขิงซอยแผ่น 50 กรัม              เบคอนหั่นชิ้น 100 กรัม
      ผัดขึ้นฉ่ายหั่นท่อน 2 ต้น               หัวหอมใหญ่หั่นหยาบ
              ผักชีเด็ดใบ                       น้ำมันหอย 100 กรัม
                ซีอี๋วขาว 50 กรัม                 ซอสปรุงอาหาร 30 กรัม
น้ำตาลทราย 20 กรัม            เกลือ 10 กรัม
             เหล้าจีน                        น้ำซุปไก่เล็กน้อย




วิธีทำกุ้งอบวุ้นเส้น

1. เรียงเบคอนหรือมันหมูแข็งลงบนก้นหม้อที่จะใช้อบ ตามด้วยหมูสามชั้นที่หมักไว้แล้ว จากนั้นนำขิง กระเทียม รากผักชี หอมหัวใหญ่ ต้นหอม พริกไทยดำ และซวงเจีย ใส่ลงไป โดยวางให้กระจายทั่วๆ กัน ปิดฝา เปิดไฟอ่อนๆ อบไปซักพักเพื่อให้หมูสามชั้นสุก (ระวังอย่าเปิดไฟแรง เพราะเบคอนที่รองก้นหม้อไว้อาจจะไหม้ได้)

2. ระหว่างที่อบหมูสามชั้นอยู่นั้น ให้นำวุ้นเส้นที่แช่น้ำจนนิ่มแล้วมาใส่ชาม โดยผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย (ไม่ต้องเยอะมากเพราะวุ้นเส้นจะแฉะและเละเกินไปเมื่ออบเสร็จ) จากนั้นผสมเครื่องปรุงรสต่างๆ ลงไป ได้แก่ น้ำมันหอย น้ำปลา ซีอิ๊วดำหวาน น้ำตาล และซอสปรุงรส คนผสมให้เข้ากัน

3. เมื่อหมูสามชั้นที่อบไว้เริ่มสุกแล้ว ให้นำส่วนผสมของวุ้นเส้นที่เตรียมไว้เทลงไป อบต่อสักพักค่อยเปิดฝาเพื่อคนให้ส่วนผสมเข้ากันอีกที ปิดฝาอบต่อจนวุ้นเส้นสุกนิ่มดี

4. น้ำกุ้งที่เตรียมไว้วางลงบนวุ้นเส้น ปิดฝาอบต่อ ดูว่าพอกุ้งเริ่มสุกก็นำออกเสริฟได้เลย



เคล็ดลับกุ้งอบวุ้นเส้น
ไม่ควรอบกุ้งนานจนเกินไป เพราะเนื้อกุ้งจะแห้งและแข็งไม่น่ารับประทาน
รับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด โดยตำกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำมะนาว






นางสาวจุฑารัตน์  ขัดทองม้วน รหัส54015775 Sec.54314

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



ขนมครกชาววัง


         ขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใครยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
“ขนมครกเมื่อก่อน สูตรดั้งเดิมนำข้าวสาร มาผสมข้าวสุกค้างคืนแล้วโม่ เพื่อให้มีความนิ่ม แต่ข้อเสียคือ ทำให้เสียไว ปัจจุบัน สะดวกสบาย เนื่องจากมีแป้งสำเร็จรูปจำหน่าย ช่วยลดความยากลงไปได้พอสมควร ส่วนหน้าที่ใช้โรยก็มีความหลากหลายมากขึ้น”
         วัตถุดิบสำคัญของขนมครก   คือ แป้ง มีด้วยกัน 2 รูปแบบคือ แป้งสด และแป้งแห้ง แป้งสดคือ แป้งที่ต้องทำเองไม่มีวางจำหน่าย อันมีส่วนผสมของข้าวสารเก่า ข้าวสวยกลางปีสุกค้างคืน ถั่วทอง หรือถั่วเขียวเลาะเปลือก นำมาโม่ด้วยเครื่อง วิธีการ นำข้าวสารเก่าแช่น้ำค้างคืน ไปโม่พร้อมข้าวสุกและถั่วทอง เหตุที่ไม่ใช้ข้าวใหม่ เพราะแป้งจะเหนียว เวลาแคะออกจากเบ้าจะไม่ค่อยล่อน ส่วนแป้งแห้งคือ แป้งสำเร็จรูปที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด โดยความแตกต่างของแป้งทั้งสองนี้คือ แป้งสด เนื้อขนมจะละเอียดและหอม แต่แป้งแห้งจะให้ความสะดวกมากกว่า  นอกจากแป้งจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของขนมครก ยังมีกะทิที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อมะพร้าวสำหรับทำขนมมาขูด แล้วคั้นเพื่อให้ได้น้ำกะทิที่สดใหม่ จากนั้นผสมเกลือป่นเล็กน้อย การทำเช่นนี้จะทำให้ได้กะทิที่หอม นอกจากนั้น ยังมีความเข้มข้นมากกว่ากะทิกล่อง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ใช้ยี่ห้ออร่อยดี เนื่องจากกลิ่นจะหอมแบบธรรมชาติ
         ลงทุน 3,000 บาท  ขายดีทุกวัน ไม่มีวันหยุด  ถึงตรงนี้ ถามผู้เชี่ยวชาญ ถึงจำนวนเงินลงทุน ได้ความว่า เงินที่ใช้ลงทุนขายขนมครกต่ำสุด เฉลี่ยใช้เงินประมาณ 3,000 บาท แบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ 2,500 บาท ได้แก่ เตาไฟ 2 หัว เป็นเตาเหล็ก 1,500 บาท เบ้าขนมครก 1 ใบ ราคา 600 บาท กาหยอดขนมครก 60-100 บาท เตาแก๊ส 300 บาท ค่าวัตถุดิบ อาทิ แป้ง กะทิ น้ำตาลโตนด เกลือ จานกระดาษไว้ใส่ขนม ทั้งสิ้น 300 บาท แถมเหลือเป็นเงินหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง “3,000 บาท หลักๆ ได้อุปกรณ์การขายและวัตถุดิบจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่รวมอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ อาทิ กะละมังผสมแป้ง ทัพพี ช้อน ของจุกจิกในครัว เนื่องจากแต่ละบ้านมักมีอยู่แล้ว”


วิธีทำตัวแป้งขนมครก

ส่วนผสม

  1. แป้งข้าวเจ้าอย่างดี ตราดอกไม้ 1 กิโลกรัม

  2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง

  3. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง

  4. น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง

  5. น้ำตาลโตนด 1 ช้อนโต๊ะ

  6. เกลือ 1 ช้อนชา

  7. โรยหน้าตามใจชอบ อาทิ ต้มหอม ข้าวโพด เผือก ฯลฯ

วิธีผสมแป้ง

ค่อย ๆ เทแป้งข้าวเจ้า ลงผสมกับน้ำสะอาด น้ำปูนใส คนจนกว่าจะเข้ากัน จากนั้นเติมกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น แล้วคนให้เข้ากันดี


วิธีทำกะทิหน้าขนมครก

ส่วนผสม

  1. หัวกะทิ 6 ถ้วยตวง

  2. หางกะทิ 2 ถ้วยตวง

  3. น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย

  4. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำกะทิสำหรับหยอดหน้า

ผสมหัวกะทิ หางกะทิ เกลือป่น น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟ คนให้น้ำตาลและเกลือละลาย จากนั้นยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่ภาชนะเตรียมหยอดหน้าขนมครก

วิธีทำขนมครก

  1. ตั้งกระทะขนมครก ใช้ไฟอ่อนปานกลาง รอจนเตาร้อนเต็มที่

  2. นำลูกประคบ ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว แตะน้ำมันพืช เช็ดที่เบ้าขนมครกให้ครบทุกเบ้า

  3. ตักหรือใช้กาหยอดแป้งขนมครก ลงในเบ้าปริมาณ 3/4 นำกระบวยกดให้ล้นขึ้นมาด้านข้าง ประมาณ 1 เซนติเมตร ปิดฝาทิ้งไว้ราว 2-3 นาที

  4. หยอดหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อ 1 เบ้า โรยหน้าตามใจชอบ ปิดฝาทิ้งไว้ รอจนขอบแป้งเหลือง ใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ภาชนะ

 อุปกรณ์สำหรับทำขนมครก
  1. เครื่องโม่แป้ง (ในกรณีทำแป้งสด)

  2. เบ้าขนมครก

  3. กาสำหรับหยอดแป้ง

  4. ลูกประคบ (ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว)

  5. ช้อนสำหรับแคะขนมครก

เคล็ดลับความอร่อย

1. น้ำมันพืชที่ใช้เช็ดเบ้าขนมครก ควรเป็นน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ขนมครกมีกลิ่นหอม ชวนให้น่ารับประทาน นอกจากนั้น ยังทำให้ผิวขนมครกมีสีสวย

2. ภาชนะใส่ขนมครก ไม่ควรใช้โฟม เนื่องจากมีสารเมลามีน ก่อให้เกิดมะเร็ง ควรเป็นจานกระดาษ หรือรองด้วยใบตอง หรือหากจำเป็นต้องเรียงซ้อนกัน ก็ควรมีใบตองวางทับไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ขนมครกติดกัน

3. เบ้าขนมครก มีทั้งที่ผลิตจากเหล็ก และสเตนเลส ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน ส่งผลด้านความสวยงาม แต่ไม่ส่งผลต่อรสชาติแต่อย่างใด



       สุดท้ายนี้ ขนมครกเป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่หากินได้ง่ายตามท้องตลาด บางที่ก็ใส่ใบเตย บางที่ก็ใส่ถ้วยโฟม ขนมครก มีหลากหลายหน้า เช่น ข้าวโพด เผือก ต้นหอม ฟักทอง หน้ากะทิ เป็นต้น ราคาย่อมเยาว์ มีกลิ่นหอม รสชาติ หวาน มัน เค็ม อร้อย อร่อย มาซื้อกินกันเยอะๆนะคะ เพื่อ อนุรักษ์ขนมไทยไว้ค่ะ :)




น.ส.รำไพ อมาตมนตรี รหัสนิสิต 54015087












วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



ไอศครีม กระทิสด



                  ไอศครีมกะทิสด เป็นของหวานเย็น ทำด้วย กะทิหรือมะพร้าว เป็นสูตรโบราณ หากินได้ง่ายตามท้องตลาด อย่างเช่น เราไปเที่ยวพวกตลาดน้ำ ก็จะมีขายทั่วไป เหมาะกับอากาศร้อนๆ สามารถทานกับ ข้าวเหนียว ขนมปัง ถ้วยกรอบ ลูกจาด มันเชื่อม ถั่วลิสงคั่ว อร่อยเลยทีเดียว พอได้กินหรือทาน รู้สึกถึงความมัน หอม หวาน ได้กลิ่นกะทิสด อย่างอร่อย ลืมถึงอากาศร้อนๆแบบนี้ได้เลยค่ะ เรามาดูหน้าตาของไอศครีม กะทิสดกันเลยนะคะ






มาดูวิธีการทำกันนะคะ


 ส่วนผสม          1. กะทิสด คั้นจากมะพร้าวขูด 560 มิลลิลิตร 
          2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
          3. เกลือ ¾ ช้อนชา
          4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
          5. เนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (มีหรือไม่มีก็ได้)



วิธีทำ

1. ต้มน้ำใส่ใบเตยให้เดือด ตักน้ำเดือด 2 ขัน ผสมกับน้ำธรรมดา 2 ขัน (ขันขนาด เบอร์ 20) นำมาคั้นกับมะพร้าว จะได้กะทิ 4 ขัน ตักใส่ภาชนะไว้แล้วคั้นกะทิต่อกับน้ำปริมาณเท่าเดิม (จะได้กะทิอีก 4 ขัน) นำกะทิทั้งหมด 8 ขัน มาผสมกับน้ำตาลและนมผงละลายให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปปั่นในถังปั่นไอศกรีม ข้อแนะนำ 1 เครื่องที่รับประทานกับไอศกรีมควรมีหลาย ๆ ชนิดเช่น ข้าวเหนียว ลูกชิด มันเชื่อม ถั่วแดง ลูกบัว เป็นจาก
2. ควรใส่เครื่องไอศกรีมในขวดโหลที่ใส สะอาด ชวนให้น่ารับประทาน
3. เมื่อตักไอศกรีมใส่ถ้วยหรือขนมปัง ควรเทนมสดและโรยถั่วลิสงคั่วบนหน้าไอศกรีมด้วย




 ไอศครีมกะทิสด สามารถทำได้ไม่ยาก ทำรับประทานเองที่บ้านได้ง่ายๆ อุปกรณ์ในการทำหาได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพง มะพร้าว กะทิ หาได้ง่ายตามบ้านหรือตามท้องตลาด ลองมาทำกินกันเยอะๆนะคะ อร่อยถูกปาก ถูกหลักอนามัย สามารถสร้างรายได้เสริม ให้กับครอบครัวอีกด้วย มาทานไอศครีมคลายร้อนกันเยอะๆๆนะจ๊ะ









 

 

 

 

 





นายชาญชัย  ธงสุวรรณ  รหัสนิสิต  54015134
















วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ร้อนๆ

          เช้าๆๆกับข้าวข้าวเหนียวหมูปิ้งร้อนๆ เป็นอาหารที่รองท้อง กินแล้วอยู่ท้องได้นาน เหมาะกับคนที่เดินทางเร่งด่วนในเวลาเช้าๆ เพราะข้าวเหนียวหมูปิ้งหาซื้อกินได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ราคาไม่แพง เป็นอาหารที่คู่กับคนไทยมาช้านาน ปัจจุบันมีคนทำข้าวเหนียวหมูปิ้งขายกันเยอะมาก ไปไหนมาไหนก็พบเจอได้ง่าย รสชาติของข้าวเหนียวหมูปิ้ง อร่อย กลมกล่อม มีกลิ่นหอม น่าชวนกินมากๆค่ะ สามารถหาซื้อกินได้ค่ะไม้ละ 5บาท 10บาท เองค่ะ เชิญมาทางนี้ได้เลยค่ะ




หอมน่ากิน  อร่อยมากๆ



ราคาไม่แพง ไม้ละ 5บาท 10บาท






นางสาวมนัญญา  พรมสนาม รหัสนิสิต 54014229 Sec.14




















วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




อาหาร๔ภาค

       อาหาร๔ภาคมีความแตกต่างและหลากหลายรสชาติ แต่ละภาคมีรสชาติและความแตกต่างไม่เหมือนกัน เช่น ภาคเหนือก็จะเป็นน้ำพริกอ่อง, ภาคใต้ก็จะเป็นสะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวาน ,ภาคอีสานก็จะเป็นลาบก้อยไข่มดแดง,ภาคกลางก็จะเป็นแกงเขียวหวานไก่

ภาคเหนือ น้ำพริกอ่อง


                               น้ำพริกอ่องเหมาะกับการกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ทานกับคู่กับแตงกวาง ฟักทองนึ่ง ผักกระหล่ำ ลำแต้ๆๆเจ้า........



                                     http://dekchainene.blogspot.com/2011/05/blog-post_06.html


ภาคใต้  สะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวาน



สะตอผัดกุ้งเปรี้ยวหวานเหมาะกับการกินข้าวสวยร้อนๆ รสชาติเผ็ดซี๊ดซาส ทานคู่กับถั่วฝักยาว ใบบัวบก
 http://thaifoodtoday.wordpress.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89/


ภาคอีสาน ลาบก้อยไข่มดแดง





 ลาบก้อยไข่มดแดง เหมาะกับการกินข้าวเหนียวร้อนๆ รสชาติมันเผ็ด แซ่บร้อน ทานกับผักได้ทุกชนิด แซ่บหลายเด้อ..............




ภาคกลาง  แกงเขียวหวานไก่






แกงเขียวหวานไก่เหมาะกับกินข้าวสวยร้อนๆและขนมจีน ทาคู่กับถั่วงอก ผักกาดดองสามราถทานคู่กับไข่ต้มด้วย 

http://thaisiamcooking.blogspot.com/2012/05/blog-post.html



นางสาวจุฑารัตน์  ขัดทองม้วน รหัสนิสิต54015775 Sec.54314